วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2557

แหล่งเรียนรู้ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน

สวัสดีค่ะ วันนี้จะมีพูดถึงแหล่งเรียนรู้ที่หนึ่ง ซึ่งแหล่งเรียนรู้นี้เป็นโครงในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ชื่อว่า " ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดฉะเชิงเทรา " ที่ดิฉันเลือกแหล่งเรียนรู้ที่นี่เพราะเป็นสถานที่ ที่ดิฉันรู้จักมาตั้งแต่เด็ก ก็แน่นอนดิฉันเป็นคนจังหวัดฉะเชิงเทราก็ต้องเที่ยวใกล้ๆบ้านก่อนอยู่แล้วค่ะ ดิฉันเที่ยวอยู่หลายครั้ง อีกทั้งโรงเรียนยังพาไปทัศนศึกษาด้วย ดีมั้ยค่ะได้เที่ยวด้วย ได้ความรู้ด้วย โครงการนี้มีความเป็นมาอย่างไรไปดูกันค่ะ


เมื่อวันที่ 8 สิงหาม พุทธศักราช 2522 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนิน ทรงเปิดศาล บวรราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ ตำบลเขาหินซ้อน อำภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา ราษฎรได้น้อมเกล้าฯถวายที่ดิน หมู่ที่ 2 ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 264 ไร่ พระองค์ได้เสด็จฯ ทอดพระเนตรที่ดินดังกล่าว และทรงมีพระราชดำริกับเจ้าหน้าที่อำเภอจังหวัด และหน่วยงานราชการต่างๆ ได้แก่ กรมพัฒนาที่ดินกรมชลประทาน กรมป่าไม้ กรมปศุสัตว์ให้ร่วมกันพัฒนาที่แห่งนี้ จัดทำเป็นศูนย์ศึกษาตัวอย่าง สาธิตการพัฒนาด้านการเกษตรกรรมและงานศิลปาชีพ เป็นแหล่งให้เกษตรกรตลอดจนผู้สนใจได้เข้ามาศึกษาค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมได้ จากพระราชดำริข้างต้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมทั้งภาคเอกชนได้ประชุมปรึกษาหารือกัน มอบหมายให้กรมพัฒนาที่ดินเป็นหน่วยงานหลัก ดังนั้นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารงานขึ้นคณะหนึ่ง เรียกว่า " คณะกรรมการบริหารและที่ปรึกษาศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา " คณะกรรมการบริหารฯ ได้ทำหนังสือในนามของ กรมพัฒนาที่ดิน กส.1801/1094 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2523 ถึงสำนักเลขาธิการ เพื่อนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานชื่อศูนย์เพื่อเป็นศิริมงคลแก่การดำเนินโครงการสนองพระราชดำริ และทางสำนักเลขาธิการได้แจ้งให้ทราบตามหนังสือ ที่ รล.002/3041 ลงวันที่ 29 มีนาคม 2523 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้ชื่อว่า " ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา "




โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ
1 เพื่อยกระดับรายได้ของเกษตรกรในบริเวณลุ่มน้ำห้วยเจ็กและห้วยน้ำโจน ซึ่งอยู่ในเขตตำบลเขาหินซ้อนและตำบลเกาะขนุน มีพื้นที่ปริมาณ 56,000 ไร่ มีรายได้พอเพียงต่อการยังชีพ คือ ประมาณ 20,000 บาทต่อครอบครัวต่อปี และจะใช้พื้นที่เป็นพื้นที่พัฒนาตัวอย่าง เพื่อให้ศึกษาแนวทางการพัฒนาท้องที่อื่นๆต่อไป
2 เพื่อเป็นแหล่งศึกษาทางวิชาการ ในการหาลู่ทางพัฒนาการเกษตร และอาชีพของเกษตรกรในภาคตะวันออกโดยเฉพาะในจังหวัดฉะเชิงเทราและจังหวัดปราจีนบุรี
3 เพื่อเป็นแหล่งฝึกอบรม ให้ความรู้ทางวิชาการด้านการเกษตรและด้านศิลปาชีพพิเศษแก่เกษตรกร




ภายในศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน มีหน่วยงานทั้งสิ้น 11 หน่วยงานดังนี้
  • งานพัฒนาที่ดิน
  • งานพัฒนาชุมชน
  • งานเพาะชำกล้าไม้
  • งานวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีฉะเชิงเทรา
  • งานโยธาธิการ
  • งานส่งเสริมและผลิตภัณฑ์พืชสวน
  • งานวิชาการเกษตร
  • งานปศุสัตว์
  • งานส่งเสริมสหกรณ์
  • งานสวนพฤกษศาสตร์
  • งานประมงสาธิต


นับได้ว่าแหล่งการเรียนรู้นี้เป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ประเภททรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง สภาพธรรมชาติที่มีอยู่แล้วในโลก และอวกาศ ซึ่งไม่ได้หมายถึงสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ เช่น ภูเขา ป่าไม้ ลําธาร ห้วย หนอง คลอง บึง แม่น้ํา และสัตว์ ป่านานาชนิด เป็นต้น แต่ว่าที่ศูนย์การพัฒนาเขาหินซ้อนเป็นธรรมชาติที่มนุษย์เข้าไปจัดสรรปันส่วน เพื่อให้เข้าถึงการเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น เพราะเนื่องด้วยปัจจุบันมีการนําธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมาใช้ประโยชน์อย่างมากจนเหลือ จํานวนน้อยลง มนุษย์เริ่มตระหนักถึงภัยที่จะเกิดขึ้นเพราะขาดธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ดี จึงได้มีการรณรงค์ สร้างสิ่งทดแทนธรรมชาติ ได้แก่ ปลูกป่า จัดระบบนิเวศน์วิทยา อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการสอนพฤกษศาสตร์ อนุรักษ์และขยายพันธุ์สัตว์ พันธุ์พืชนานาชนิด




และที่นี่ก็ยังเป็นแหล่งทัศนศึกษา คือ สถานที่ สถาบัน และหน่วยงานต่าง ๆ สามารถใช้เป็นแหล่งทัศนศึกษาในการเรียนรู้เพื่อเพิ่มพูน ประสบการณ์ความรู้ได้โดยอาจเป็นสถานที่ให้ความรู้เฉพาะด้าน เช่น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ให้ความรู้ด้าน ประวัติศาสตร์ของประเทศ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ทางทะเลให้ความรู้เกี่ยวกับพืชและชีวิตสัตว์น้ําเค็ม ท้องฟ้าจําลองกรุงเทพฯ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ด้านดาราศาสตร์และอวกาศ ฯลฯ โดยหน่วยงานเหล่านี้จะมีการจัดแสดงนิทรรศการและโครงงานต่าง ๆ เพื่อให้ความรู้แก่ผู้สนใจทั่วไป หรือแม้แต่แหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดต่าง ๆ เช่น หมู่บ้านชาวเขา หมู่บ้านทําเครื่องเบญจรงค์ ฯลฯ แต่ที่ศูนย์การพัฒนาเขาหินซ้อน เน้นให้เพิ่มพูนความรู้เรื่อง การดำเนินชีวิตด้วยความพอเพียง ดำเนินชีวิตแบบพึ่งพาตนเอง ดำเนินชีวีตตามแนวเกษตรพอเพียง การใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้เป็นประโยชน์สูงสุด อีกทั้งยังมีการให้ความรู้โดยบุคคลเมื่อมีการติดต่อเข้ามาศึกษาดูงาน โดยที่ศูนย์จะจัดวิทยากรที่มีความรู้ในด้านที่โครงการฝึกอบรมต้องการมาบรรยาย เช่น โครงการอบรมเรื่องการเพาะเห็ด ทางศูนย์ก็จะมีเจ้าหน้าที่มาให้ความรู้ในเรื่องนั้นๆ ด้วย



ตัวดิฉันเองที่ได้ไปสัมผัสมา ไม่ว่าจะไปกี่ครั้งที่นี่ก็มีการพัฒนาปรับปรุงในส่วนต่างๆ เสมอ และก็ยังคิดว่าควรนั่งรถชมจุดต่างๆมากกว่าที่จะเดินเท้า เพราะที่นี่กว้างใหญ่มาก และถ้าหากคิดจะมาเที่ยวจริงๆก็เหมาะที่จะมาในช่วงงานเกษตรเขาหินซ้อน เพราะจะมีการนำสินค้าและผลิตภัณฑ์การเกษตร OTOP ออกมาจำหน่าย มีทั้งต้นไม้ อุปกรณ์การเกษตร ของกิน และสินค้าหัตถกรรรม มากมาย เพราะจะได้ทั้งชมงาน และชมธรรมชาติไปพร้อมๆกัน น่าเสียดายที่นี่ไม่มีน้ำตก ดิฉันแอบคิด อยากให้เขาทำน้ำตกไว้สักที่ คงจะสวยไม่น้อย แต่เขาก็มีคลองส่งน้ำที่ทำไว้สวยงามและก็มีฝายชะลอน้ำด้วย

แหล่งการเรียนรู้นี้นำใช้ได้ที่แน่ๆในวิชาเกษตรกรรม เพราะเป็นเรื่องของการทำเกษตรโดยเฉพาะ เช่นเรื่องการพัฒนาที่ดิน เกษตรพอเพียง เกษตรทฤษฏีใหม่ การเพาะพันธุ์พืช พันธุ์ไม้นานาชนิด การเลี้ยงสัตว์และประมงก็มีครบ ที่นี่ปลูกฝังให้เกิดการคิดแบบเศรษฐกิจพอเพียง การจัดสรรน้ำ เพื่อการใช้น้ำให้คุ้มค่า อีกทั้งยังใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้เกิดการเรียนรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์
จะได้นำไประกอบอาชีพได้อย่างถูกต้อง

วิชาต่อไปเป็นเรื่องของเศรษฐศาสตร์ เพราะที่นี่จัดทำสหกรณ์กรณ์ด้วย เพื่อเน้นกระบวนการคิดแบบพึ่งพาตนเองและแบบพอเพียง

วิชาภูมิศาสตร์ เพราะที่แห่งนี้เคยเป็นที่แห้งแล้งมาก่อน แต่ด้วยแนวคิดของในหลวงสามารถพลิกผืนแผ่นดินนี้ให้กลับมาใช้เพราะปลูกได้ เป็นการเรียนรู้เรื่องการพัฒนาที่ดิน พรรณไม้ เป็นต้น

ที่แห่งนี้ดิฉันคิดว่าเหมาะอย่างยิ่งในการทัศนศึกษา เพราะได้ทั้งความรู้และได้ชื่นชมธรรมชาติ ถึงแม้ไม่ได้เรียนรู้ในเรื่องเกษตรกรรมแต่ก็ยังได้เรียนรู้เรื่องการใช้ชีวิต ซึ่งดิฉันคิดว่าเป็นการเรียนรู้ที่คุ้มค่าจริงๆ 
ปล. ที่นี่ยังมี 
พลับพลาพระรามที่ประทับชั่วคราวด้วย



และก็ 
พระตำหนักสามจั่ว





https://www.facebook.com/pages/%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%88-

วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

โฆษณา ชวนคิด

ในปัจจุบันสังคมเราเริ่มมีความเสื่อมโทรงทางด้าน วัฒนธรรม ค่านิยม และคุณภาพชีวิตอย่างมาก เนื่องจากปัญหาต่างๆที่เรื้อรังมาหลายสิบปี เปลี่ยนผู้บริหารก็แล้ว เปลี่ยนนโยบายก็แล้ว กี่ยุคกี่สมัยประเทศไทยก็ยังเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา เพราะเหตุใด?

ก็เพราะการ คอร์รัปชั่น ต่อให้ปลูกฝังค่านิยมแก่เด็กและเยาวชนอย่างไร แต่ถ้าผู้ใหญ่ยังคอร์รัปชั่นอยู่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น มีหลายกลุ่มพยายามช่วยกันรณรงค์ ทั้งหน่วยงาน สื่อต่างๆ มีการใช้นวัตกรรมเข้ามาช่วยเพื่อให้สื่อที่ผลิตออกมาเป็นที่สนใจ แก่คนที่ได้พบเห็น เพื่อสะท้อนสังคม เพื่อสะท้อนค่านิยมที่ผิด หรื่อเพื่อสร้างหรือปลูกฝังค่านิยมใหม่ๆ

ตัวดิฉันเองก็เคยพบเคยเห็นเคยสัมผัสกับสื่อเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด โปสเตอร์ คำขวัญ หนังสั้น ละคร และที่สมัยนี้นิยมกันมากคือ โฆษณา แต่สื่อเหล่านี้จะออกมาเผยแพร่ได้ ต้องผ่านการคัดกรองจากใครนั้นหรือ ? ผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ทีได้รับผลกระทบ ?

ส่วนตัวดิฉันเอง ดิฉันชอบดู โดยเฉพาะโฆษณาในทีวีที่ชอบทำออกมาแล้วมันสะท้อนอารมณ์เป็นอย่างมา ดิฉันรู้สึกว่าดูแล้วมันทำให้มองเห็นภาพจริง หรือส่วนหนึงของสังคมที่ เราเห็นกันอยู่ทุกวันแต่มองข้ามมันไป ดิฉันจะขอยกตัวอย่าง

http://www.youtube.com/watch?v=LC503tF1eJ0


โฆษณานี้ ไม่ได้รับการเผยแพร่ทางโทรทัศน์ อาจเนื่องมาจากมีการแสดสี ที่เห็นได้ชัดเจนจนอาจทำให้มีคนบางกลุ่มยอมรับไม่ได้

จากความคิดเห็นของดิฉัน โฆษณานี้ ให้คุณค่าทางอารมณ์ โดยการสะท้อน ภาพจริงของสังคม ความต้องการที่แท้จริงของคนในสังคม ทำให้คนดูสะเทือนใจนึกหวนกลับมาคิดใแง่ของความเป็นจริง เตือนสติให้คนได้รู้ว่ากำลังทำให้คนอื่นเดือดร้อน เพราะความโลภอยู่หรือไม่ โฆษณานี้ยังชวนคิดและปลุกใจให้คนหยุดคอร์รัปชั่น มีการใช้ดนตรีเพื่อให้เกิดความรู้สึก สร้างความมันใจและฮึกเหิมที่จะหยุดการโกง

ดิฉันคิดว่าโฆษณาชิ้นนี้เป็นการนำนวัตกรรมเข้ามาช่วยปลูกฝังค่านิยมที่ดีให้กับคนที่ได้ดู และช่วยสะท้อนให้คนมีจิตสำนึกอีกด้วย





วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ประโยชน์หรือข้อเสียของ เครื่องคิดเลข

ในปัจจุบันมีความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีมากขึ้น จึงทำให้การดำเนินชีวิตของคนเราเป็นไปอย่างสะดวกสะบายมากขึ้นด้วย แต่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะมีประโยชน์จริงหรือไม่ 
           อย่างเช่น เครื่องคิดเลข เป็นเครื่องมือที่ช่วยใช้ในการคำนวน หาผลลัพธ์ทางคณิตศาสตร์ โดยเครื่องคิดเลขอิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่มีแผงปุ่มซึ่งประกอบด้วยเลขโดดและการดำเนินการทางเลขคณิตต่าง  บางเครื่องก็มีปุ่ม 00 และ 000 ด้วยเพื่อให้ป้อนจำนวนขนาดใหญ่ง่ายขึ้น แต่ละปุ่มบนเครื่องคิดเลขพื้นฐานส่วนใหญ่ใช้แทนเลขโดดตัวเดียวหรือการดำเนินการอย่างเดียว อย่างไรก็ตามในเครื่องคิดเลขที่เฉพาะทางยิ่งขึ้น ปุ่มใดปุ่มหนึ่งสามารถทำงานได้หลายอย่างโดยกดร่วมกับปุ่มอื่นหรือขึ้นอยู่กับโหมดการคำนวณปัจจุบัน
เครื่องคิดเลขมักจะมีหน้าปัดแสดงผลเป็นจอภาพผลึกเหลวแทนที่จอภาพเรืองแสงสุญญากาศในอดีต ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่การพัฒนาด้านเทคนิค เศษส่วนอย่างเช่น 1/3 จะแสดงเป็นค่าประมาณในจำนวนทศนิยมที่ถูกปัดเศษ 0.33333333 เครื่องคิดเลขวิทยาศาสตร์หลายรุ่นสามารถทำงานกับเศษส่วนหรือจำนวนคละได้ แต่กับเศษส่วนบางจำนวนเช่น 1/7 ซึ่งเท่ากับประมาณ 0.14285714285714 (เลขนัยสำคัญ 14 หลัก) อาจจำแนกได้ยากในจำนวนทศนิยม
เครื่องคิดเลขมีความสามารถในการบันทึกจำนวนลงในหน่วยความจำ เครื่องชนิดพื้นฐานสามารถบันทึกจำนวนได้เพียงจำนวนเดียวในเวลาหนึ่ง  เครื่องชนิดเฉพาะทางมากขึ้นสามารถบันทึกได้หลายจำนวนแสดงด้วยตัวแปรต่าง  ตัวแปรเหล่านั้นก็สามารถใช้สร้างสูตรทางคณิตศาสตร์ได้ บางรุ่นมีความสามารถในการขยายเนื้อที่หน่วยความจำเพื่อให้บันทึกจำนวนได้มากขึ้น โดยตำแหน่งที่ขยายออกไปจะถูกอ้างถึงด้วยดัชนีของแถวลำดับ
แหล่งพลังงานของเครื่องคิดเลขคือแบตเตอรี่ เซลล์สุริยะ หรือไฟฟ้า (สำหรับเครื่องรุ่นเก่า) เปิดเครื่องด้วยสวิตช์หรือปุ่มเปิด บางรุ่นไม่มีแม้กระทั่งปุ่มปิดแต่ก็มีบางวิธีที่ทำให้เครื่องปิดได้เช่น ปล่อยทิ้งไว้ไม่ดำเนินการใด  ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ปิดคลุมแผงเซลล์สุริยะ หรือปิดฝาครอบ เป็นต้น
ระบบการทำงานทำให้เครื่องคิดเลขเป็นเทคโนโลยีสารสนเทศชนิดหนึ่ง เนื่องจากมีการป้อนข้อมูลเข้าไปประมวลผลแล้วออกมาเป็นสาระสนเทศที่ต้องการ

ประโยชน์ของเครื่องคิดเลข คือ 
1.ช่วยให้การคำนวนหาผลลัพธ์สะดวกรวดเร็วโดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องคิดเอง
2.ง่ายต่อการพกพา
3.เมื่อคำนวนได้ไวงานก็เสร็จไวทำให้ก้าวหน้าได้ไวกว่า
4.ไม่เปลืองกระดาษและดินสอ
5.ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง

เนื่องจากเครื่องคิดเลขอำนวยความสะดวกสะบายให้แก่ผู้ใช้จึงทำให้อาจเกิดผลเสียดังนี้
1.ผู้ใช้ไม่ได้ฝึกสมองในการคิดคำนวน
2.ทำให้สมรรถภาพในการคิดลดลงอาจส่งผลให้สมองฝ่อ
3.ทำให้ผู้ใช้ติดอยู่กับความสะดวกสบายจนอาจลืมที่จะพยายามที่จะทำอะไรด้วยตนเอง